มีเรื่องขำๆ แบบขำไม่ออกในช่วงเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเวลาไม่ตรงกันกับคุณมะระ ทำให้ไม่ได้ไปสตูดิโออัดรายการวิทยุ แถมรายการที่อัดไว้ก็ไกล้จะหมดไม่มีออกอากาศ ก็เลยทำให้ต้องใช้เครื่อง Mac ที่มีอยู่มาอัดเสียง อัดเสียงโดยใช้ไมค์ที่ตัวเครื่อง (build-in microphone) ทำให้ได้เสียงไม่ดีนัก ก็เลยคิดว่าจะซื้อไมค์ต่อข้างนอก พอดูที่ช่องหูฟัง อ้าวเสียบไมค์ไม่ได้ซะงั้น มีแต่ช่องหูฟังไม่มีไมค์ ทางออกสุดท้ายคือต้องหาไมค์ USB มาเสียบ ด้วยความไม่มีความรู้เรื่องไมค์เท่าไร เลยไปซื้อไมค์เหน็บมา หน้าตาแบบนี้
เอ่อ… แต่มีคนพูด 2 คน คงต้องใช้ไมค์ 2 ตัวไหม? แล้วอัดเสียงใช้ไมค์ 2 ตัวได้เหรอ? งงๆ ซึ่งใครใช้ MacOS มีวิธีครับ ใช้ Audio MIDI Setup ซึ่งมีอยู่ใน MacOS ทุกตัวอยู่แล้วทำ Aggregate Device ได้
จากรูปผมมีไมค์ USB กับไมค์ build-in ที่อยู่ในเครื่อง
กดเมนูข้างล่างเลือก Create Aggregate Device ได้เลย
เลือก device ที่เราจะเอามารวมกัน จากรูป ผมรวมไมค์ USB กับไมค์ build-in ที่อยู่ในเครื่อง เป็น Aggregate Device ไปดูที่ Sound เราจะเห็นว่า Aggregate Device ของเราทำงานได้แล้ว
ตอนอัดเสียงด้วยโปรแกรมอัดเสียง เลือก input เป็น Aggregate Device ที่เราสร้างขึ้นครับ
ปล. เพื่อน AnPower3 แนะนำให้ใช้ไมค์แบบตั้งโต๊ะอย่าง Rode เสียงจะดีกว่า ไมค์ตัวเดียวเก็บเสียงได้ 2 คน
OSX
There are 9 posts tagged OSX (this is page 1 of 1).
มาทำ USB Boot สำหรับติดตั้ง OSX El Capitan กัน
OSX ตัวใหม่ออกมาแล้ว สำหรับท่านที่กำลังจะอัพเกรดอย่าเพิ่งรีบร้อน ดาวน์โหลดตัวติดตั้งมาแล้วทำ USB Boot กันก่อนครับ จะได้มี El Capitan ใน USB เอาไว้ใช้งานยามฉุกเฉิน หรือเอาไว้ไปติดตั้งที่เครื่องอื่นๆ ได้ 🙂
เมื่อดาวน์โหลดม่เรียบร้อยแล้วเปิด terminal ใช้คำสั่งดังนี้
cd /Applications/Install\ OS\ X\ El\ Capitan.app/Contents/Resources/
สั่งสร้าง USB Boot ดังนี้
sudo ./createinstallmedia --volume /Volumes/ELCAPITAN --applicationpath "/Applications/Install OS X El Capitan.app"
รอจนคัดลอกไฟล์เสร็จ ก็สามารถเอาไปใช้งานได้ 🙂
มาทำ USB Boot สำหรับติดตั้ง OSX Yosemite กัน
เนื่องจากหา USB Boot Mavericks อันเก่าไม่เจอก็เลยต้องทำ USB Boot อันใหม่จะได้ไม่เปิดเหตุซ้ำสอง ที่ต้องติดตั้ง Recovery Tools และ Yosemite ผ่าน Internet สำหรับวิธีการก็ง่ายมากๆ ดาวน์โหลด Yosemite มาก่อนเลยดังนี้
Continue reading
ประสบการณ์ OSX พัง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเกิดเรื่องไม่คาดคิดและไม่คิดว่า OSX มันจะพัง เนื่องจากซุกซนและนิสัยเสียทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จาก OSX หลายอย่าง ทำเอาเครียดติดต่อกันหลายวัน แต่ก็ได้ประสบการณ์ใหม่กับ OSX ที่ก็ยังสงสัยว่าคนออกแบบมันคิดได้ยังไง T_T
ปุ่มลัดที่แสนจะพิศดาร
- กด Option เลือก disk สำหรับบูตเครื่อง
- กด Cmd+R เข้า Recovery Mode
- กด Cmd+Option+R เข้า Internet Recover Mode
- กด Shift เข้า Single Mode
- กด Cmd+S เข้า Text Single Mode
การอัพเกรด OSX ต้องใช้ internet แรงๆ ดาวน์โหลดตัวติดตั้ง OSX และตัว Recovery ให้ครบไม่งั้นจะ boot ไม่ขึ้นและสั่งติดตั้ง OSX ไม่ได้ การ backup ข้อมูลทำได้หลายวิธี โดยส่วนตัวผมใช้วิธีการ Sync ข้อมูลไปเก็บไว้ใน External HDD อาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าลืมก็เนื่อยหน่อย สำหรับคนใช้ Mac แนะนำให้ใช้ Time Capsule เพราะจะ sync ข้อมูลผ่าน Time Machine ได้ทุกๆ ชั่วโมง การ sync ครั้งแรกจะเป็นการสำรองข้อมูลทั้งหมด ครั้งต่อไปก็จะเร็วขึ้น ถ้าใช้ Airport Time Capsule ผ่าน Wifi นอนรอได้เลยนานมาก ประมาณ 3-6 ชั่วโมง หลายคนใช้ External HDD หรือ Firewire วิธีนี้จะเร็วกว่ามากๆ
ถ้าไม่มี Time Capsule ก็สามารถสำรองข้อมูลผ่านเน็ตเวิร์กได้เช่นกัน ผ่าน Apple File Protocol (AFP) ซึ่งถ้ามีเครื่องที่แชร์ผ่าน AFP ก็เอามาเป็น Disk ของ Time Machine ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น HDD External + USB Hub + Raspberry Pi เป็นต้น ถ้าท่านใดอย่างลองทำ แนะนำให้ใช้ Netatalk 3 และใช้ HFS+ หรือ Ext4 เป็น File System อย่าใช้ vfat หรือ ntfs ถ้าต้องการเก็บข้อมูลให้แยก partition สำหรับ Time Machine และ partition สำหรับเก็บไฟล์ออกจากัน สำหรับระบบปฏิบัติการแนะนำ Arch Linux มาพร้อมกับ Netatalk 3 ไม่ต้องออกแรงเยอะ 🙂
ทำ USB Boot ติดตั้ง OSX Mavericks
ปกติไม่ได้ blog เกี่ยวกับ OSX ที่ใช้อยู่เลย เพราะไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกกวนใจ ระยะหลังเริ่มวิตกว่าถ้าเกิดผมซนมากกว่านี้อาจจะทำ OSX พังได้ ก็เลยหาวิธี backup อยู่หลายอย่าง ใช้ Time Machine สำรองข้อมูลไปไว้ใน External Storage บ้าง แต่ System Image ของ OSX ไม่มี และถ้าเกิดพังขึ้นมา ก็ไม่รู้จะทำยังไง T_T ก็เลยไปลองศึกษาจากคู่มือที่วางขายตามท้องตลาดพบว่า สมัยก่อนมี OSX USB Thumbdrive แถมมากับเครื่องด้วย แต่ในระยะหลังไม่มีแถมแล้วก็เลยสงสัยว่าจะทำยังไง พอไปถาม iStudio เขาก็บอกแค่ว่าต้องติดตั้งผ่าน Internet เอาซึ่งก็คือ Net Install นั่นเอง แต่ OSX ทั้งตัวก็ประมาณ 5G ได้ จะเอา net เร็วๆ มาจากไหนกัน สุดท้ายก็ต้องมาพึ่ง Knowledge Base ของ Apple ลองค้นดู พบว่ามีวิธีทำ USB Boot จากตัวติดตั้ง ของ Mavericks ได้ เย้… ปัญหาคือจะเอาตัวติดตั้ง Mavericks มาจากไหน เพราะ OSX สั่งอัพเดทจาก AppStore คำตอบก็คือ ดาวน์โหลดจากหน้า AppStore นั่นแหละครับ
จากนั้นเราจะได้ OSX Installer ในหน้า Dashboard ดังนี้
ในตัว OSX Installer จะมีเครื่องมือชื่อ createinstallmedia สามาถสั่งสร้าง USB Boot ได้เลย ดังนี้
sudo /Applications/Install\ OS\ X\ Mavericks.app/Contents/Resources/createinstallmedia \
--volume /Volumes/MyVolume --applicationpath /Applications/Install\ OS\ X\ Mavericks.app
จากนั้น createinstallmedia ก็จะทะยอยคัดลอกไฟล์ disk image และตัวติดตั้งลงไปใน USB Thumbdrive ของเรา สำหรับวิธีการใช้งาน ก็เพียงแค่กดปุ่ม Option (Alt) ตอนเริ่มเปิดเครื่อง แล้วเลือก Boot จาก USB Drive เท่านี้เอง 🙂
ชีวิตบน OSX
ใช้ MacBook Air มาจะครบ 1 ปีแล้ว ไม่เคยเขียน Blog เลยว่าผมใช้ software อะไรบ้างบน OSX และบน Ubuntu เลยมาไล่ดูว่าใช้ software อะไรบ่อยๆ บ้าง ได้ตารางดังนี้
แลกเปลี่ยนไฟล์ Galaxy Nexus กับ OSX
ผมใช้ Galaxy Nexus มานานละ นานพอจนไม่ Google ไม่มี Android 4.4 ให้ใช้ T_T เรื่องการโอนไฟล์ผ่าน MTP, PTP สร้างปัญหาเรื่องการโอนไฟล์กับ Ubuntu 12.04, 12.10, 13.04 พอสมควรเพราะ gvfs ยังเก่าอยู่ไม่สนับสนุน MTP ที่แย่กว่านั้น OSX ไม่รู้จัก MTP ซึ่งแย่กว่าเดิมอีก และที่แย่ยิ่งกว่าผมใช้งาน OSX เป็นหลัก ไม่มี Ubuntu ใช้แล้ว ก็เลยต้องถามจากผู้ที่ใช้งาน Galaxy Nexus กับ OSX ซึ่งก็พบว่ามีปัญหากันเยอะ จริงๆ น่าจะมี option ให้เลือก USB Mass Storage เพิ่มขึ้นมานะ เอาเป็นว่าผมใช้เครื่องมือโอนไฟล์อยู่หลายตัวด้วยกัน ดังนี้
- AirDroid
- Android Device Monitor
- Cloud Storage
สรุปว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ก็เลยทำให้ต้องค้นหาว่าจริงๆ แล้ว Google มีเครื่องมืออะไรพิศดารมาแก้ปัญหานี้หรือเปล่า ก็พบว่ามีครับ เครื่องมือตัวนี้มีชื่อว่า Android File Transfer สำหรับ Mac users โดยเฉพาะ T_T เอาเป็นว่าได้เครื่องมือละ
พอเปิดโปรแกรมขึ้นมาก็รู้สึกอยากร้องไห้ นี่มันตัด Device Explorer มาจาก Android Device Monitor ชัดๆ เครียดเลยครับ
อัพเดท OSX Mavericks
ช่วงคืนวันที่ 22 ที่ผ่านมาเป็นคืนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ผมรออยู่อย่างเดียวคือ Mavericks OSX 10.9 ซึ่งจะได้สัมผัสประสบการณ์อัพเดท OSX ทั้งตัวครั้งแรกผ่าน App Store หลังจากงานเปิดตัวก็สามารถอัพเดทได้เลย ที่สำคัญอัพเดทได้ฟรี 🙂 ก็เลยพยายามอัพเดทอยู่ 2 วันก็ถอดใจเพราะขนากของไฟล์ใหญ่เหลือเกิน 5GB แน่ะ ก็เลยรออัพเดทที่สำนักงานวันนี้ ในที่สุดก็ได้ Mavericks สมใจ
หลังอัพเดทแล้วรู้สึกว่าหน้าจอสีเปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูจากสีของไอคอนของ FireFox และ TextMate สีมันเข้มขึ้นมากเลย คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับ Color Profile เดี๋ยวตามไปแก้ไขอีกที
ครบ 1 เดือนกับ Macbook Air
จาก Blog ที่แล้วเรื่องตัดสินใจซื้อ Macbook Air และสิ่งที่ต้องเผชิญ เอาเป็นว่าครั้งนี้คงมาสรุปว่าผมใช้อะไรบ้าง บน Macbook Air และยังมีอะไรที่ยังใช้ไม่ได้บน Macbook Air สำหรับคนอย่างผมที่เปลี่ยนจาก Linux มาใช้ Macbook Air และ OSX สิ่งที่ผมรู้สึกหงุดหงิดคือ
- ขนาดของแป้นคีย์บอร์ดมันเล็กเกินไป ทำให้คนที่จิ้มดีดอย่างผมใช้งานไม่ถนัด
- ไม่มีปุ่ม Home, End, Page Up, Page Down ยังสับสนกับ Option และ Command อยู่ ทำให้เลื่อน cursor ไม่คล่อง
- Shell บน OSX เหมือนย้อนอดีตไปสัก 20 ปี มันไม่ฉลาดเลย
- ปุ่มเปลี่ยนภาษาไปชนกับปุ่มเครื่องมือในโปรแกรมอื่นที่ผมใช้ ก็เลยต้องเรียน short-cut key กันใหม่
- เปลี่ยน Touch Gresture ใหม่ให้เหมือนกับที่ใช้บน Linux เช่น Tab, Move Windows ทำให้ Gresture อื่นต้องเปลี่ยนตาม เลยมาจำ Gresture 3 นิ้ว 4 นิ้วกันใหม่
อุปกรณ์ที่ซื้อเพิ่ม
- Case สีดำด้านของ Speck
- สาย Thunder Bolt to VGA
- สาย Thunder Bolt to Ethernet
ส่วนโปรแกรมที่ผมใช้มีอะไรบ้าง
- FireFox (เอาไว้ใช้ Web Developer Tools กับ Firebug)
- Chrome (ใช้งานเป็น Web Browser)
- VLC
- App Cleaner
- Burn แทน XBurn
- DropBox
- LibreOffice
- VirtualBox
- MenuTab for Facebook
- Sublime Text 2
- TextMate แทน GEdit
- Skype
- Pencil
- iTerm2 แทน Gnome Terminal
- The Unarchive แทน Archiver
- Android Studio
- Android Developer Tools Bundle
- Speedtao
- Gimp
- CyberDuck แทน Nautilus Connect to Server
- XtraFinder
- HandBreak แทน Sound Converter, Arista
- Rip แทน Sound Jucier
- MySQL Workbench
- Inkscape
- XQuartz แทน X11
- Fotor
- Keka แทน Archive
- Cafeine
- Line
- Xmind
- GitHub
- Unetbootin
- VMWare Fusion
- XAMPP
- Blender
- OpenShift Cli Tools
- DotCloud Cli Tools
- Azure Cli Tools
- Juju